หนุ่มขอนแก่นเลี้ยงปูนาแบบธรรมชาติ ใจกลางเมืองขอนแก่น ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น สู่อุตสาหกรรมอาหาร   


5 ตุลาคม 63 13:59:38

หนุ่มนักการตลาด เนรมิตพื้นที่ชุมชนใจกลางเมือง เป็นฟาร์มปูนาแบบครบวงจร  ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น สู่อุตสาหกรรมอาหารที่กินได้ทั้งตัวในราคาไม่ธรรมดา 

    เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 5 ต.ค.2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพบฟาร์มปูนา แห่งใหม่   ในชุมชนย่านเศรษฐกิจที่สำคัญของ จ.ขอนแก่น โดยฟาร์มปูนาแห่งนี้ใช้พื้นที่ประมาณ 200 ตารางวา ในหมู่บ้านเลคไซค์การ์เด้นวิว ริมบึงหนองโคตร ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น เป็นพื้นที่ทำฟาร์มขนาดพอเหมาะ ที่บริหารจัดการพื้นที่เป็นฟาร์มปูนาแบบครบวงจร โดยมีการแบ่งสัดส่วนการบริหารจัดการพื้นที่แบ่งเป็นพื้นที่ฟาร์มปูนา 100 ตารางวา พื้นที่ปลูกผักอินทรีย์ปลอดสารพิษ 50 ตารางวา  และพื้นที่จัดกิจกรรมรวมทั้งพื้นที่ส่วนกลางเพื่อรองรับผู้ที่มาเที่ยวชมฟาร์ม 50 ตารางวา โดยมีนายวธชสิทธิ์  ศรีสร้อย อายุ 37 ปี เจ้าของฟาร์มปูนาอาเธอร์ พร้อมด้วยพนักงานร่วมให้การต้อนรับและแนะนำฟาร์มปูนาในส่วนต่างๆอย่างเป็นกันเอง 

    นายวธชสิทธิ์  ศรีสร้อย เจ้าของฟาร์มปูนาอาเธอร์ จ.ขอนแก่น กล่าวว่า เดิมเป็นพนักงานบริษัทโดยทำหน้าที่การตลาด โดยเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมาได้มีการศึกษาข้อมูลการเลี้ยงปูนา รวมทั้งการเรียนรู้จากฟาร์มปูนารายใหญ่หลายแห่ง จนกระทั่งตัดสินใจทำฟาร์มปูนาแบบครบวงจรขึ้นที่บ้านเกิดของตนเองที่ อ.โคกโพธิ์ชัย จ.ขอนแก่น  จนกระทั่งสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นที่ทุกฝ่ายได้รับผลกระทบ ได้มีเพื่อนสนิทมาขอรับคำแนะนำในการช่วยเหลือด้านการตลาดให้กับฟาร์มปูนา จึงนำวิชาที่เรียนมาผสมผสานกับการทำตลาดแบบออนไลน์และเทคโนโลยีที่เป็นปัจจุบัน ซึ่งก็พบว่าได้รับการตอบรับจากผู้ที่ชื่นชอบปูนา ทั้งในรูปแบบของพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ รวมการนำไปทำอาหารอย่างมาก จึงตัดสินใจกลับมาทำฟาร์มปูนาที่บ้านเกิดที่ อ.โคกโพธิ์ชัยอย่างจริงจัง ด้วยเทคนิควิธีที่เรียนผ่านทางออนไลน์ รวมทั้งหลักวิชาการที่เรียนรู้มาจากฟาร์มขนาดใหญ่ในพื้นที่ราชบุรีและสุพรรณบุรี แต่เมื่อการทำฟาร์มที่อยู่ในพื้นที่อำเภอรอบนอกทำให้การแปรสภาพหรือการเข้าถึงช่องทางทางการตลาดที่ยาก จึงได้ขออนุญาตใช้พื้นที่ 200 ตารางวา หรือ 2 งานในพื้นที่ทำเลทองอีกแห่งหนึ่งของ จ.ขอนแก่น ทำเป็นฟาร์มปูนาในเมืองโดยทำการขอเช่าที่ดินดังกล่าว แต่ผู้ใหญ่ท่านใจดีเห็นว่าเป็นการนำไปพัฒนาเป็นภาคการเกษตรแบบผสมผสานและคงไว้ซึ่งภูมิปัญญญาท้องถิ่นจึงยังไม่เก็บค่าเช่า จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการวางแผนการทำฟาร์มปูนา หรือที่เราเรียกกันว่าหมู่บ้านปู แบบกะทัดรัดและคงไว้ซึ่งภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิมผสมผสานกับการเกษตรสมัยใหม่ ที่เป็นการผสมผสานได้อย่างลงตัว 

    “เมื่อได้ที่ดินมาแล้วก็เข้าสู่การบริหารจัดการพื้นที่ ด้วยการแบ่งพื้นที่ 1 งาน ทำเป็นฟาร์มปูนา ที่เป็นการทำฟาร์มทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ด้วยปูที่ตลาดต้องการ 2 สายพันธุ์ คือพันธุ์พระเทพ และพันธุ์กำแพง ทำการเลี้ยงแบบธรรมชาติและกระชังบก แต่ที่ได้รับความสนใจและเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมากคือการเลี้ยงแบบดั้งเดิม คือการนำพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์มาเลี้ยงในพื้นที่ที่เราจำลองธรรมชาติ และเลี้ยงแบบดั้งเดิมตามสภาพแวดล้อมและสิ่งที่ปูนาต้องการ ให้อาหารวันละ 1 มื้อคือมื้อค่ำ หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละวันที่ไม่ซ้ำกัน ทั้งในกลุ่มของเม็ดอาหารปลา, เม็ดอาหารกบ, ปลาสด รวมทั้งผลไม้ห้ามใช้สับปะรดเลี้ยงปุนาเด็ดขาด และที่สำคัญในการเลี้ยงนั้นจะต้องระวังงูกับปลา ให้ดีเพราะ 2 สิ่งนี้คือสิ่งที่ปูนากลัวที่สุดตามวงโคจรของสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ซึ่งฟาร์มเมื่อเลี้ยงในระบบบ่อดินดั้งเดิมแบบธรรมชาติแล้ว แยกออกเป็น 3 สวน คือกลุ่ม 3 เดือนที่เรียกว่าปูดอง, กลุ่ม 6 เดือน และกลุ่ม 1 ปี ซึ่งเมื่อเราเลี้ยงปูตามที่ต้องการในแต่ช่วงอายุแล้ว ทุกตัวจะต้องถูกจับมาเลี้ยงในกระชังหรือบ่อคอนกรีต หรือนวงการการเลี้ยงปูคือการเลี้ยงแบบน้ำใส อีก 2 สัปดาห์เพื่อให้ปูนั้นคลายปรสิตและชำระล้างตัวเองจากดินและสิ่งปฎิกูลต่างๆให้หมดจึงจะสามารถจับไปขายได้ ในขณะที่การเลี้ยงแบบกระชังบกในบ่อคอนกรีตนั้นก็สามารถทำได้ ด้วยกระบวนการเลี้ยงทั่วไปแต่ตลาดต้องการที่สุดคือการเลี้ยงแบบธรรมชาติ ผสมผสานกับหลักวาการ ซึ่งการจำลองพื้นที่แบบธรมชาติ มีการหากระบอกไม้ไผ่มาใส่, การใช้ใบตลาลมาคลุม การใช้หลังคากระเบื้อง หรือการปลูกผัก-ปลูกข้าว รวมทั้งกลุ่มผักน้ำต่างๆมาไว้ในบ่อก็สามารถที่จะเลี้ยงปูนาได้ในภาพรวม” 

    นายวธชสิทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า ปูนา เมื่อทำการเลี้ยงได้ตามช่วงอายุแล้ว ทั้งตัวมีราคาทั้งหมด ซึ่งเดิมเกษตรกรส่วนใหญ่จะเลี้ยงเพื่อขายพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ หรือบางกลุ่มก็จะเลี้ยงแบบชั่งกิโลขาย แต่เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น และได้ทำการตลาดเชิงพาณิชย์ให้กับปูนาพบว่าปูนานั้นเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคอย่างมากและสามารถทำได้มากกว่าปูดอง จึงได้มากลายเป็นแนวทางของการต่อยอดธุรกิจและส่งเสริมการตลาดให้กับเกษตรกรเพิ่มข้นเพราะปูนานั้นเพาะเลี้ยงเพียง 3 เดือนขึ้นไปก็สามารถขายได้และได้นราคาดี ดังนั้นฟาร์มปูนาอาเธอร์ขอนแกน จึงเป็นมากกว่าแหล่งเรียนรู้ด้านการเลียงปูนาด้านการเกษตรเพียงอย่างเดียวแต่ยังคงเป็นสถานที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ในเรื่องของการแปรสภาพปูหรือการนำปูไปสู่อุตสาหกรรมอาหาร ที่ฟาร์มนั้นทำทั้งระบบ โดยมีการนำไปแปรสภาพเป็นอาหาร ที่ประกอบด้วยปูนาทอดกรอบ,น้ำพริกปูนา,อ่องมันปูนา,ปูนาสามรส ซึ่งปัจจุบันราคาจำหน่ายปูนานั้น ในจะตกอยู่ที่กิโลกรัมละ 80-150 บาท แต่ถ้านำมาชำแหละ ราคาจะปรับขึ้นเป็นกล้ามปูในกลุ่มรุ่นอายุ 1 ปีจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 200-500 บาท, มันปู กิโลกรัมละ 800-1,500 บาท, กระดองปูตากแห้ง ที่เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมากในขณะนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 300 บาท, อกปู กิโลกรัมละ 300 บาท ซึ่งเรียกได้เวลาการเลี้ยงกับต้นทุนนั้นเป็นอีกหนึ่งช่องทางการเกษตรเชิงพาณิชย์ที่น่าสนใจอย่างมาก 

    “ฟาร์มขนาดใหญ่ ที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีระบบการเลี้ยง การตลาด และมุ่งสู่อุตสาหกรรมอาหาร จะมีรายได้ต่อเดือนเฉพาะการเลี้ยงปูนา นับล้านบาท และเมื่อฟาร์มของเรานำปูนา มาแปรสภาพเป็นอาหาร ที่ถูกหลักโภชนาการและหลักวิชาการที่ถูกต้องผสมผสานกับภูมิปัญาท้องถิ่นที่สืบทอดรสชาติมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ คุณย่า ทำให้ความต้องการของตลาดและยังคงมีผู้ที่ชื่นชอบการบริโภคปูนาในปัจจุบันจำนวนมาก อย่างไรก็ตามฟาร์มยังคงมีความตั้งใจที่จะต่อยอดภูมิปัญญาประจำถิ่นด้วยการทำปูนาสู่อุตสาหกรรมความงาม ในกลุ่มไคโตซาน โดยได้มีการหารือร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในการสกัดสารดังกล่าวจากปูนาของฟาร์มแล้ว อีกทั้งในขณะนี้ฟาร์มได้เปิดให้บริการในการเป็นแหล่งเรียนรู้หรือสถานที่ศึกษาดูงานการบริหารจัดการฟาร์มปูนา ทั้งระบบ ในพื้นที่กะทัดรัด ที่ทุกคนสามารถทำฟาร์มปูนาเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารที่ทำจากปู โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ 084-6597899 หรือไลน์ไอดี : @arthurcrab หรือคลิก https://lin.ee/3ZxbZtxi1 ได้ทันที”







เว็บโฮสติ้ง

เว็บโฮสติ้ง   Cloud Web Hosting   Streaming Server   VPS